แบตเตอรี่เครื่องมือช่างแต่ละประเภทและความแตกต่าง

แบตเตอรี่เครื่องมือช่างแต่ละประเภทและความแตกต่าง

แบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญของเครื่องมือช่างไร้สาย เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ทำให้เครื่องทำงานได้โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก การเข้าใจประเภทและแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่จะช่วยให้เลือกใช้งานได้เหมาะสมและยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น

 ประเภทของแบตเตอรี่เครื่องมือช่าง

1.แบตเตอรี่ Ni-Cd (Nickel-Cadmium)
เป็นแบตรุ่นเก่าที่เคยนิยมมากในอดีต มีจุดเด่นคือทนความร้อนและชาร์จซ้ำได้หลายครั้ง ราคาถูก แต่มีน้ำหนักมากและเกิดปัญหา “Memory Effect” คือหากชาร์จโดยไม่ใช้ไฟหมดก่อน แบตจะจำปริมาณไฟครั้งก่อนและเก็บไฟได้น้อยลงในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของสารเคมีที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เหมาะกับ: ผู้ที่ใช้งานไม่บ่อยหรือเครื่องมือรุ่นเก่า

2.แบตเตอรี่ Ni-MH (Nickel-Metal Hydride)
เป็นรุ่นพัฒนาให้ดีกว่า Ni-Cd มีความจุไฟมากขึ้น น้ำหนักเบา และไม่เป็นพิษเท่าแบบเดิม แต่จะเสื่อมสภาพไวหากไม่ได้ใช้งานนาน ๆ และไม่ทนความร้อนสูง

เหมาะกับ: งานทั่วไปที่ไม่ต้องใช้พลังต่อเนื่องยาวนาน

3.แบตเตอรี่ Li-Ion (Lithium-Ion)
เป็นแบตที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะมีน้ำหนักเบา ชาร์จเร็ว ไม่มีปัญหา Memory Effect และให้พลังไฟแรงคงที่จนหมดก้อน แม้ราคาจะสูงกว่าแบบอื่นแต่คุ้มค่าในระยะยาว และมีให้เลือกหลายแรงดันตั้งแต่ 10.8V จนถึง 80V

เหมาะกับ: เครื่องมือช่างยุคใหม่ เช่น สว่านไร้สาย ลูกหมู เลื่อยไฟฟ้า และเครื่องมือระดับมืออาชีพ

 ความแตกต่างตามแรงดันไฟฟ้า (โวลต์)

แรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่มีผลโดยตรงต่อกำลังของเครื่องมือ ยิ่งแรงดันสูง เครื่องมือก็ยิ่งมีกำลังมากและสามารถทำงานหนักได้ยาวนานขึ้น

-10.8V – 12V: ใช้งานเบา เช่น เจาะไม้ ขันสกรู เหมาะกับงานทั่วไปในบ้าน

-18V: เป็นแรงดันยอดนิยม ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งงานไม้ งานเหล็ก หรือซ่อมบำรุงทั่วไป

-20V MAX: มีพลังมากขึ้นเล็กน้อย มักใช้ในเครื่องมือของแบรนด์ Dewalt, Stanley ฯลฯ

-36V – 48V: สำหรับงานหนัก เช่น ตัดเหล็ก ตัดไม้ขนาดใหญ่ หรืองานก่อสร้าง

-60V – 80V: ใช้ในเครื่องมือระดับมืออาชีพ เช่น เครื่องเลื่อยโซ่ เครื่องตัดหญ้าไฟฟ้า หรือเครื่องตัดหิน

 เคล็ดลับการดูแลแบตเตอรี่เครื่องมือช่าง

1.อย่าชาร์จค้างข้ามคืน – อาจทำให้แบตร้อนและเสื่อมเร็ว

2.เก็บในที่แห้งและเย็น – หลีกเลี่ยงแสงแดดและความชื้น

3.ใช้แบตให้ตรงรุ่นกับเครื่องมือ – แต่ละยี่ห้อมีระบบไฟไม่เหมือนกัน

4.ใช้แท่นชาร์จของแท้ – เพื่อความปลอดภัยและยืดอายุแบต

5.ใช้งานให้สม่ำเสมอ – การเก็บไว้นานเกินไปโดยไม่ใช้จะทำให้แบตเสื่อมได้

 สรุป

การเลือกแบตเตอรี่เครื่องมือช่างให้เหมาะกับลักษณะงานเป็นสิ่งสำคัญ หากเน้นความประหยัดและใช้งานทั่วไป แบต Ni-MH อาจเพียงพอ แต่ถ้าเน้นกำลังสูงและความสะดวก ควรเลือกแบต Li-Ion ที่มีแรงดัน 18V ขึ้นไป ซึ่งเป็นมาตรฐานของเครื่องมือยุคใหม่

Visitors: 859,871